เที่ยวประเทศ ไอซ์แลนด์ ดินแดนในฝัน ฉันเชื่อว่าไม่มีนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติในพวกคุณคนไหนที่จะไม่รู้จักชื่อความงามของธรรมชาติในประเทศไอซ์แลนด์อย่างแน่นอน แม้ว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยก็สามารถเดินทางได้ และคุณสามารถจองตั๋วเครื่องบินไปไอซ์แลนด์ได้แล้ว หากใครมีวีซ่าพร้อม ตั๋วเครื่องบิน รวมที่พัก และแบตกล้องชาร์จเต็มแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวให้พร้อมเพื่อเลือกสถานที่ที่น่าไปเยี่ยมชม 15 แห่งในไอซ์แลนด์ที่สวยงามจนคุณต้องตะลึงจนแทบลืมหายใจ หรือถ้าใครไม่มีทริปก็อยากจะไปในใจ ทำไมไม่ลองดูสถานที่เหล่านี้ในไอซ์แลนด์เพื่อหาแรงบันดาลใจดูล่ะ
ไอซ์แลนด์มีธรรมชาติที่สวยงาม และที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือน้ำตกแห่งนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Church Mountain หรือ Church Mountain เนื่องจากมีรูปร่างคล้ายกับโบสถ์ สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับภูเขาลูกนี้คือสีสันต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการทับถมของหิน หรือฟอสซิลที่คิดว่ามีอายุมากกว่าล้านปีได้เกิดขึ้นแล้ว ด้านบนจะเป็นหินลาวา และมีความสูงรวมกว่า 460 เมตร ความงดงามของภูเขาลูกนี้สวยงามทุกฤดูกาล แต่โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เมื่อหิมะปกคลุมภูเขาลูกนี้จนหมด มันจะทำให้ดูเหมือนหมวกแม่มดมากยิ่งขึ้น และบริเวณภูเขานี้ก็มีน้ำตกด้วย ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไม่น้อย
เที่ยวประเทศ ไอซ์แลนด์ ดินแดนในฝัน 1.ธารน้ำแข็ง (Snaefellsjokull Glacier)
เที่ยวประเทศ ไอซ์แลนด์ ดินแดนในฝัน ไอซ์แลนด์มีธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและมีธารน้ำแข็งที่สวยงามหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือธารน้ำแข็งสไนล์แฟลสโจกุล ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของประเทศไอซ์แลนด์ นักท่องเที่ยวนิยมเดินเล่นตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติ เพื่อขึ้นไปชมความยิ่งใหญ่ของธารน้ำแข็งแห่งนี้ ซึ่งมีระยะทางมากกว่า 100 กิโลเมตร ในวันที่อากาศแจ่มใส จะสามารถมองเห็นได้ตลอดทางไปจนถึงชายฝั่งเกาะกรีนแลนด์
2.ถ้ำน้ำแข็ง (Crystal Ice Cave)
มาถึงดินแดนแห่งน้ำแข็งอย่างไอซ์แลนด์แล้วจะพลาดการเข้าชมถ้ำน้ำแข็งไปได้อย่างไร ซึ่งถ้ำน้ำแข็งที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์จะอยู่ที่บริเวณ Jokulsarlon Glacier Lagoon ภายในธารน้ำแข็ง Vatnajokull เป็นถ้ำน้ำแข็งที่มีความสวยงามมาก ๆ บริเวณด้านในมีลักษณะเป็นฟองอากาศ เมื่อถูกแสงแดดส่องจะกลายเป็นสีฟ้าใสราวกับคริสตัล จึงเป็นที่มาของชื่อ Crystal Ice Cave
3.หาดทรายสีดำ(Black Sand Beach)
หาดทรายสีดำอันเลื่องชื่อของไอซ์แลนด์ หรือเรียกอีกชื่อว่า Reynisfjara ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน Vik เขต Myrdalur ทางตอนใต้ของเกาะ เป็นหาดทรายยาวจากหินภูเขาไฟ จึงมีสีดำสนิท บรรยากาศเงียบสงบ วิวทิวทัศน์สวยงาม โดยบริเวณหนึ่งที่เป็นแนวหน้าผาหินจะเห็นหินมีรูปร่างคล้ายกับแท่งหินห้าเหลี่ยมหกเหลี่ยมเรียงตัวลดหลั่นกันลงมาตามชายหาด ซึ่งเกิดจากการที่ลาวาอันร้อนระอุไหลมากระทบกับน้ำทะเลจนเย็นตัวลงนั่นเอง นอกจากความมหัศจรรย์ของธรรมชาติแล้ว เราก็ยังจะได้พบเห็นกับเจ้านกพัฟฟินสุดน่ารักมากมายในบริเวณนี้อีกด้วย
4.Hvitserkur
Hvitserkur เป็นหินรูปทรงสวยงามแปลกตา บริเวณชายฝั่งทางด้านตะวันออกของคาบสมุทร Vatnsnes ทางตอนเหนือ (North Iceland) ของเกาะไอซ์แลนด์ โดยหินก้อนนี้มีรูปร่างคล้ายกับช้างสีดำ เป็นหินบะซอลต์สูงประมาณ 15 เมตร บริเวณชายหาดยังเป็นทรายสีดำ มีทิวทัศน์ด้านหลังเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน ซึ่งตัดกันอย่างเด่นชัด เป็นจุดถ่ายภาพสำคัญที่ต้องมาเซลฟี่กันให้ได้
5.ทะเลสาบธารน้ำแข็ง (Jokulsarlon Glacier Lagoon)
ทะเลสาบธารน้ำแข็ง Jokulsarlon เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางห้ามพลาดของประเทศไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะ ภายในอุทยานแห่งชาติ Vatnajokull ซึ่งเป็นอุทยานธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ห่างจากเมืองเรคยาวิกประมาณ 370 กิโลเมตร ความงดงามของทะเลสาบแห่งนี้อยู่ที่มีก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่หักออกจากธารน้ำแข็ง Breioamerkurjokull ลอยอยู่กลางทะเลสาบมากมาย ซึ่งทะเลสาบไม่ได้กว้างมาก แต่ลึกมากถึง 250 เมตร และยังมีหาดทรายสีดำที่เต็มไปด้วยก้อนน้ำแข็งอันงดงามอีกด้วย ซึ่งหากนักท่องเที่ยวต้องการที่จะเที่ยวชมทะเลสาบแห่งนี้ให้ทั่วถึง สามารถที่จะใช้บริการทัวร์นั่งเรือชมทะเลสาบและธารน้ำแข็งได้เช่นกัน
6.Seljalandsfoss
Seljalandsfoss เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของประเทศไอซ์แลนด์ ตั้งอยู่ภายในฟาร์ม Seljaland บนเส้นทาง Southern Ring Road ทางตอนใต้ของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นน้ำตกที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะทั้งยิ่งใหญ่และมีบรรยากาศโดยรอบที่น่าประทับใจสุด ๆ น้ำมากมายจะไหลผ่านหน้าผาสูงกว่า 60 เมตร ลงสู่พื้นด้านล่างอย่างสม่ำเสมอ มีทางเดินเล็ก ๆ ให้นักท่องเที่ยวเดินลัดเลาะเข้าไปที่หลังน้ำตก ซึ่งจะเห็นวิวของสายน้ำที่ไหลลงมากระทบพื้น พร้อมกับมีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่สีเขียวอยู่เบื้องหลัง เป็นภาพที่งดงามจนกลายไปเป็นภาพวอลเปเปอร์และอยู่บนปฏิทินหลายฉบับ
7.น้ำตก(Skogafoss)
Skogafoss เป็นอีกน้ำตกที่มีความงดงามอลังการมาก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ บนเส้นทาง Southern Ring Road ห่างจากชายฝั่งทางตอนใต้ของไอซ์แลนด์เพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น น้ำตกแห่งนี้มีความกว้างถึง 25 เมตร และสายน้ำจากหน้าผาจนถึงพื้นดินสูงประมาณ 60 เมตรเลยทีเดียว เมื่อเข้าไปยืนใกล้ ๆ เราจะกลายเป็นเพียงคนตัวเล็ก ๆ ทันที มวลน้ำมหาศาลจะไหลลงสู่พื้นด้านล่างซึ่งเป็นทรายภูเขาไฟสีดำ รอบด้านจะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีเขียวและดอกไม้ป่าสีสันสดใส บางวันมีสายรุ้งทอดผ่านน้ำตกอย่างงดงาม ในช่วงหน้าหนาวบริเวณโดยรอบน้ำตกจะเต็มไปด้วยหิมะ น้ำตกบางส่วนกลายเป็นน้ำแข็ง มีสายน้ำบาง ๆ ไหลผ่านลงมาจากหน้าผาสูงชัน เป็นความสวยงามอีกรูปแบบที่ต้องไปสัมผัสกันสักครั้ง
8.ภูเขา (Kirkjufel)
Kirkjufell เป็นภูเขาทางฝั่งตะวันตกของไอซ์แลนด์ (West Iceland) เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งสิ่งของประเทศไอซ์แลนด์เลยก็ว่าได้ ซึ่งช่างภาพมืออาชีพจากทั่วโลกที่มาเยือนไอซ์แลนด์ต่างก็ต้องมาแชะภาพของที่นี่กลับไปเป็นที่ระลึก ภูเขา Kirkjufell มีความสูงประมาณ 463 เมตร ล้อมรอบไปด้วยวิวทิวทัศน์สุดอัศจรรย์ทั้งหาดทรายชายทะเล และน้ำตก ไม่ว่าจะมาเที่ยวที่นี่ในช่วงไหนก็มีความงดงามตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในหน้าหนาวที่จะมองเห็นภูเขา Kirkjufell ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงออโรร่าเป็นฉากอยู่เบื้องหลัง
9.โบสถ์(Hallgrimskirkja Church)
Hallgrimskirkja Church ตั้งอยู่ในเมืองเรคยาวิก (Reykjavik) ได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของประเทศไอซ์แลนด์ โบสถ์แห่งนี้ออกแบบโดย Guojon Samuel เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1937 โดยเขาได้รับแรงบัลดาลใจมาจากรูปร่างของหินบะซอลต์ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ลาวานั้นเย็นตัวแล้ว มีหอคอยสูงประมาณ 73 เมตร ซึ่งด้านบนยังสามารถชมวิวเรคยาวิกแบบกว้างไกลได้อีกด้วย นอกจากตัวอาคารจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว ภายในโบสถ์ยังมีการตกแต่งอย่างเรียบหรู ให้ความรู้สึกที่เงียบสงบและผ่อนคลาย
10.บลูลากูน (Blue Lagoon)
หลังจากที่ National Geographic ได้ยกให้บลูลากูน (Blue Lagoon) เป็น 1 ใน 25 สถานที่สุดอัศจรรย์ของโลก ที่นี่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมเยือนอย่างไม่ขาดสาย ด้วยบลูลากูนเป็นบ่อน้ำแร่ที่มีน้ำสีฟ้าใสสวยงาม อันเกิดจากเกลือแร่ (Minerals), แร่ซิลิกา (Silica) และสาหร่าย (Algae) โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือนคึกคักมาก ๆ แม้ว่าอากาศโดยรอบจะติดลบก็ตาม แต่การที่พวกเขาได้นอนแช่ในน้ำแร่ที่มีอุณหภูมิเฉลี่ย 50 องศาเซลเซียสนั้น ทำให้พวกเขาผ่อนคลายและสดชื่นแบบสุด ๆ เรียกได้ว่าที่นี่เป็นสวรรค์ที่คนทั่วโลกต่างต้องการมาสัมผัสเลยทีเดียว